กรุงเทพฯ, 28 มีนาคม 2565 – PwC ประเทศไทย ชี้ระบบการเงินไร้ตัวกลาง หรือ DeFi มีแนวโน้มจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ หลังอุตสาหกรรมทางการเงินของประเทศปรับสู่บริการทางการเงินและการลงทุนดิจิทัลหลากหลาย และช่วยเปิดโอกาสในการเข้าถึงระบบการเงินได้ง่ายและไร้พรมแดนมากขึ้น แต่คาด DeFi ยังคงไม่สามารถเข้ามาทดแทนการทำธุรกรรมของธนาคารแบบดั้งเดิมได้ทั้งหมด แนะผู้ประกอบการธนาคารปรับตัวเพิ่ม DeFi เข้าไปในระบบนิเวศเพื่อต่อยอดธุรกิจ
นางสาว วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา และหัวหน้ากลุ่มธุรกิจบริการทางการเงิน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า ระบบการเงินไร้ตัวกลาง (Decentralised Finance: DeFi) กำลังเข้ามามีบทบาทในการให้บริการทางการเงินในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุน บริษัทพัฒนาแอปพลิเคชัน สถาบันการเงิน และธนาคารพาณิชย์ ที่ปัจจุบันได้ทำการศึกษาและพัฒนาแพลตฟอร์ม รวมไปถึงสร้างบริการทางการเงินใหม่ ๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ใช้บริการ
“ในปีนี้การใช้ DeFi ของไทยน่าจะโตขึ้นไปอีกเยอะ เพราะการทำธุรกรรมต่าง ๆ ระหว่างผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มเดียวกัน ไม่ว่าจะโอนเงิน ชำระเงินและมอบทรัพย์สิน หรือกู้ยืมเงินนั้น ทำได้สะดวกสบายกว่าเดิม และยังมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ถูกลงด้วย” นางสาว วิไลพร กล่าว
คาด DeFi ทำดีมานต์ของการใช้บริการทางการเงินกับแบงก์ลด
“หากในอนาคตมีการใช้ DeFi มากขึ้นเรื่อย ๆ เราคาดว่า ความต้องการใช้บริการทางการเงินกับสถาบันการเงินจะลดลงอย่างแน่นอน โดยเฉพาะด้านการลงทุน เพราะผู้ลงทุนน่าจะโยกเงินไปลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีพอสมควร” นางสาว วิไลพร กล่าว
แนวโน้มดังกล่าว สอดคล้องกับรายงาน DeFi: Defining the future of finance ของ PwC ที่ได้เปิดเผยถึง 6 บริการทางการเงินบนระบบนิเวศของ DeFi ที่จะเข้ามาส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทางการเงินโลกไว้ดังต่อไปนี้
“การเข้าถึงบริการที่ง่าย มีขั้นตอนและการตรวจสอบที่น้อย ทำให้ DeFi เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากโดยเฉพาะกลุ่มคนที่อาจจะยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน และกลุ่มนักลงทุนซึ่งได้ให้ความสนใจในการทำรายการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยส่วนใหญ่จะเป็นพวก younger generation ที่เติบโตมาในโลกยุคดิจิทัล จึงมีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ” นางสาว วิไลพร กล่าว
DeFi ยังไม่สามารถทดแทนธุรกรรมของธนาคารได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ DeFi ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อช่วยในการบันทึกและดำเนินธุรกรรมทางการเงิน โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางอย่าง สถาบันการเงิน และธนาคารพาณิชย์
อย่างไรก็ดี แม้ว่ากระแสของ DeFi จะเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายและมีผู้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น แต่นางสาว วิไลพร กล่าวว่า “DeFi จะยังคงไม่สามารถทดแทนการให้บริการของธนาคารแบบดั้งเดิมได้ทั้งหมด เพราะมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากการใช้งานอยู่มาก เช่น การโดนเจาะระบบ หรือการทุจริต ที่ล้วนสร้างความเสียหายให้กับผู้ลงทุนและผู้ใช้บริการ”
ในส่วนการปรับตัวของธนาคารนั้น ผู้ประกอบการควรหันมาพิจารณารูปแบบการทำงานร่วมกับ DeFi ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มตัวกลางที่สรรหาและรวบรวมบริการต่าง ๆ บน DeFi (Platform Aggregator) หรือพัฒนาและดำเนินการแพลตฟอร์มให้บริการ DeFi ของตัวเอง (Platform Operator) เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากบริการบน DeFi ผ่านธนาคารได้ นอกเหนือไปจากการศึกษารูปแบบการให้บริการใหม่ ๆ ของ DeFi อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงการให้บริการ เธอ กล่าว
นอกจากนี้ ธนาคารยังควรเพิ่ม DeFi เข้าไปในระบบนิเวศของตัวเองเพื่อขยายการเข้าถึงประชากรในกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน (Unbanked population) โดยคาดว่า มีอยู่ราว 1.7 พันล้านคนทั่วโลก[1] ซึ่งในอนาคต หากคนกลุ่มนี้มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น ก็จะกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ธนาคารต้องการได้
“เราจะเห็นว่าปัจจุบันมีธนาคารขนาดใหญ่ของไทยสองแห่งที่มีการเตรียมความพร้อม และพัฒนา DeFi ของตนเองอย่างจริงจัง รวมทั้งเกิดผู้เล่นหน้าใหม่ ๆ ในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างธุรกิจที่เป็นนอนแบงก์ ซึ่งเข้ามาออกโทเคนดิจิทัลเสนอขายให้แก่ผู้ใช้บริการ และผู้ที่ต้องการปล่อยกู้ที่เข้ามาใช้แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการสินเชื่อ” เธอ กล่าว
ความเสี่ยงและการกำกับดูแล DeFi
นางสาว วิไลพร กล่าวต่อว่า ปัจจุบันหน่วยงานกำกับของหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อหาแนวทางในการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับระบบนิเวศของ DeFi และสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับขนาดของอุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของประเทศไทย สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้บริการของผู้จัดการเงินทุน และที่ปรึกษาสินทรัพย์ดิจิทัลเกี่ยวกับ DeFi เพื่อป้องกันความเสี่ยงของผู้บริโภคจากการถูกหลอกลวง หรือการโจรกรรมทางไซเบอร์ เธอ กล่าว
นอกจากนี้ ล่าสุด ก.ล.ต. ยังได้ออกเกณฑ์กำกับการให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อไม่ให้สนับสนุนหรือส่งเสริมการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าหรือบริการ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565
“DeFi ยังถือเป็นเรื่องใหม่และยังต้องมีการพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ นั่นแปลว่า ทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการจะต้องมีความระมัดระวังและต้องศึกษาอย่างละเอียดถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ความโปร่งใส และความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม เพื่อป้องกันการแฮกและการขโมยข้อมูล รวมถึงต้องระวังเรื่องความผันผวนของสกุลเงินดิจิทัลและอื่น ๆ โดยไม่ลืมที่จะติดตามความเคลื่อนไหวของหน่วยงานกำกับดูแลว่า จะมีการออกมาตรการหรือกฎระเบียบใหม่ ๆ อะไรบ้างที่อาจส่งผลกระทบต่อ DeFi ในอนาคต” นางสาว วิไลพร กล่าว
//จบ//
ข้อมูลอ้างอิง
ที่ PwC เป้าประสงค์ของเรา คือ การสร้างความไว้วางใจในสังคมและช่วยแก้ปัญหาสำคัญให้กับลูกค้า เราเป็นหนึ่งในบริษัทเครือข่าย 156 ประเทศทั่วโลก และมีพนักงานมากกว่า 295,000 คนที่ยึดมั่นในการส่งมอบบริการคุณภาพด้านการตรวจสอบบัญชี ที่ปรึกษาทางธุรกิจ กฎหมายและภาษี หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราได้ที่ www.pwc.com
PwC ประเทศไทย ถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2502 โดยมีบทบาทในการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจไทยมานานกว่า 63 ปี PwC ผสมผสานประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถในการทำงานกับลูกค้าข้ามชาติ ผนวกกับความเข้าใจตลาดภายในประเทศเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ชื่อเสียงของ PwC เป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยปัจจุบัน มีบุคลากรมากกว่า 1,800 คนในประเทศไทย
PwC refers to the Thailand member firm, and may sometimes refer to the PwC network. Each member firm is a separate legal entity. Please see www.pwc.com/structure for further details.
© 2022 PwC. All rights reserved