Press Release

PwC เผยนักลงทุน 94% เชื่อว่าการรายงานด้านความยั่งยืนขององค์กรมีการกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน

  • Press Release
  • 5 minute read
  • 10 Jan 2024

PwC เผยนักลงทุน 94% เชื่อว่าการรายงานด้านความยั่งยืนขององค์กรมีการกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน

  • นักลงทุนสามในสี่กล่าวว่า ความยั่งยืนมีความสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน ในขณะที่มากกว่าครึ่ง (57%) ระบุว่า การรายงานความยั่งยืนมีความชัดเจนและความสม่ำเสมอมากขึ้น
  • 61% กล่าวว่า การนำเอไอมาใช้เร็วขึ้นนั้นมีความ “สำคัญมาก” หรือ “สำคัญอย่างยิ่ง”
  • ความกังวลด้านเศรษฐกิจมหภาคและเงินเฟ้อลดลงจากระดับสูงสุดในปี 2565 ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มขึ้นจาก 22% เป็น 32% ส่งผลให้ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศทัดเทียมกับความเสี่ยงทางไซเบอร์

กรุงเทพฯ, 10 มกราคม 2567 – นักลงทุนมากกว่าเก้าในสิบ หรือ 94% เชื่อว่าการรายงานขององค์กรเกี่ยวกับผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนมีการกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนตามข้อมูลจาก รายงานผลสำรวจนักลงทุนทั่วโลกประจำปี 2566 ของ PwC (2023 Global Investor Survey)

ทั้งนี้ การสำรวจดังกล่าวถูกจัดทำขึ้นเป็นปีที่สามติดต่อกัน โดยได้สอบถามความคิดเห็นของนักลงทุนและนักวิเคราะห์จำนวน 345 รายจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแบ่งตามภูมิศาสตร์ ประเภทสินทรัพย์ และวิธีการลงทุน เพื่อหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากที่สุดต่อบริษัทที่พวกเขาลงทุน

ผลสำรวจพบว่าแม้ว่าความกังวลด้านเศรษฐกิจมหภาคและเงินเฟ้อยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่สุด แต่ก็ได้ผ่อนคลายลงจากระดับสูงสุดในปี 2565 ในขณะที่ในปี 2566 ความกังวลด้านความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (climate risks) เพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับความเสี่ยงทางไซเบอร์ที่ 32%

ในขณะเดียวกัน การสำรวจได้แสดงให้เห็นถึงภูมิทัศน์การลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดย 59% ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเป็นปัจจัยที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะมีอิทธิพลต่อการสร้างมูลค่าของบริษัทต่าง ๆ ในอีกสามปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 61% กล่าวว่า การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence: AI) มาใช้เร็วขึ้นนั้นมีความ “สำคัญมาก” หรือ “สำคัญอย่างยิ่ง”

ความยั่งยืนยังคงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับนักลงทุน โดย 75% กล่าวว่า วิธีที่บริษัทจัดการความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุน แม้ว่าจะลดลง 4% จากปีก่อนก็ตาม

“เรากำลังย้ายจากช่วงเวลาของการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ไปสู่ช่วงเวลาที่นักลงทุนถามคำถามเฉพาะเจาะจงและยากมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีการที่บริษัทต่าง ๆ จัดการกับปัญหาเหล่านั้นในเชิงกลยุทธ์ รวมไปถึงวิธีที่พวกเขาประเมินความเสี่ยงและโอกาส และสิ่งสำคัญที่แท้จริงสำหรับธุรกิจ ซึ่งในบริบทนี้ การรายงานขององค์กรจำเป็น ต้องมีการพัฒนาต่อไปเพื่อให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ สม่ำเสมอ และเปรียบเทียบได้แก่นักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ สามารถพึ่งพาได้”

นาย เจมส์ ชาลเมอร์ส หัวหน้าสายงานตรวจสอบบัญชีระดับโลก PwC ประเทศสหราชอาณาจักร กล่าว

นักลงทุนมองหามาตรฐานการรายงานที่ดีขึ้นท่ามกลางความกังวลเรื่องการฟอกเขียว

นอกจากนี้ นักลงทุนยังได้เน้นย้ำถึงข้อสงสัยอันรุนแรงเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของการรายงานความยั่งยืนและข้อมูลที่พวกเขาใช้ ซึ่งเรียกกันว่า “การฟอกเขียว” (greenwashing)1 โดยนักลงทุน 94% เชื่อว่า การรายงานขององค์กรเกี่ยวกับผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนมีการกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนในระดับหนึ่ง (เพิ่มขึ้นจาก 87% ในปี 2565) รวมถึง 15% ที่คิดว่า คำกล่าวอ้างเหล่านั้นมีอยู่ในระดับ “สูงมาก” ขณะที่สัดส่วนที่กล่าวว่าการกล่าวอ้างที่ไม่ได้รับการสนับสนุนมีอยู่ในระดับปานกลางหรือมากกว่านั้น เพิ่มขึ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์จากปีที่ก่อนที่ 79%

การตระหนักรู้เกี่ยวกับการฟอกสีเขียวเหล่านี้อาจอธิบายได้ว่า ทำไมนักลงทุนจึงมองหาหน่วยงานกำกับดูแลและผู้กำหนดมาตรฐานเพื่อสร้างความชัดเจนและความสม่ำเสมอในการรายงานของบริษัทต่าง ๆ โดยนักลงทุน 57% กล่าวว่า หากบริษัทปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานต่าง ๆ (รวมถึงข้อบังคับด้านการรายงานความยั่งยืนขององค์กรในสหภาพยุโรป (Europe’s Corporate Sustainability Reporting Directive: CSRD) หรือ การที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของประเทศสหรัฐอเมริกา เสนอกฎการเปิดเผยสภาพภูมิอากาศในสหรัฐฯ และมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน (ISSB standards)) ก็จะตอบสนองความต้องการข้อมูลของพวกเขาสำหรับการตัดสินใจในระดับ “สูง” หรือ “สูงมาก” นอกจากนี้ นักลงทุน 85% กล่าวว่า การได้รับการตรวจสอบอย่างสมเหตุสมผล (คล้ายกับการตรวจสอบงบการเงิน) จะทำให้พวกเขามีความมั่นใจในการรายงานความยั่งยืนในระดับ “ปานกลาง” “มาก” หรือ “มากที่สุด”

ทั้งนี้ นักลงทุนยังให้ความสำคัญกับต้นทุนเพื่อปฏิบัติตามข้อผูกพันด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดย 76% พบว่าข้อมูลนี้สำคัญหรือสำคัญมาก โดยนักลงทุนต้องการข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของบริษัทที่มีต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม และในจำนวนนั้น 75% เห็นด้วยว่า บริษัทควรเปิดเผยมูลค่าทางการเงินของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคม เพิ่มขึ้นจาก 66% ในปี 2565

นักลงทุนหนุนการนำเอไอมาใช้งานอย่างรวดเร็ว แม้มีความเสี่ยง

ผลการสำรวจในปี 2566 ยังแสดงให้เห็นว่านักลงทุนมองว่าการนำเอไอมาใช้มีความสำคัญต่อการสร้างมูลค่า ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการความเสี่ยง โดยนักลงทุน 61% กล่าวว่า การนำเอไอมาใช้งานอย่างรวดเร็วนั้นมีความ “สำคัญมาก” หรือ “สำคัญอย่างยิ่ง” และเมื่อรวมคำตอบที่ระบุว่า “สำคัญปานกลาง” ตัวเลขก็เพิ่มขึ้นเป็น 85% นอกจากนี้ นักลงทุนยังระบุว่า การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (59%) เป็นปัจจัยที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะมีอิทธิพลต่อวิธีที่บริษัทต่าง ๆ สร้างมูลค่าในช่วงสามปีข้างหน้า นอกจากนี้ นักลงทุนยังจัดอันดับให้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเกิดใหม่ (รวมถึง เอไอ เมตาเวิร์ส และบล็อกเชน) อยู่ในลำดับความสำคัญห้าอันดับแรกเมื่อประเมินบริษัทต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม 86% มองว่า เอไอนำมาซึ่งความเสี่ยงอย่างมากตั้งแต่ระดับ “ปานกลาง” ถึง “มาก” ในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว การกำกับดูแลและการควบคุมไม่เพียงพอ (84%) ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (83%) และอคติและการเลือกปฏิบัติ (72%)

“เราเห็นขั้นตอนสำคัญในการนำไปสู่การรายงานที่สอดคล้องกันมากขึ้นจากบริษัทต่าง ๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม ยังมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงต่อไป ในขณะเดียวกัน นักลงทุนยังได้เรียกร้องให้มีการมีส่วนร่วมมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่บริษัทต่าง ๆ จัดการโอกาสและความเสี่ยงของเทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง generative AI เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและการลงทุนเพิ่มมากขึ้น”

นาง นัดยา พิคาร์ด หัวหน้ากลุ่มธุรกิจการรายงานระดับโลก PwC ประเทศเยอรมนี กล่าว

ด้านนาย ชาญชัย ชัยประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร PwC ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันนักลงทุนและภาคธุรกิจไทยตื่นตัวและตระหนักถึงผลกระทบด้าน ESG เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่บริษัทขนาดกลางถึงขนาดเล็กอาจจะยังขาดความเข้าใจเชิงลึกในส่วนของรายละเอียดของการจัดทำรายงานความยั่งยืนอยู่บ้าง ในขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลก็ส่งเสริมให้บริษัทต่าง ๆ มีการจัดทำรายงานความยั่งยืนที่ได้รับการตรวจสอบอย่างสมเหตุสมผล เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนก่อนนำข้อมูลไปใช้

“ภายในสองถึงสามปีข้างหน้า เราคาดว่าน่าจะเริ่มเห็นทั่วโลกเริ่มมีการตรวจสอบและการให้คำรับรองจากผู้ตรวจสอบก่อนที่จะมีการเปิดเผยรายงานความยั่งยืนภายหลังจากที่หน่วยงานกำกับของแต่ละประเทศมีการออกกฎระเบียบและมาตรฐานบังคับใช้ที่ชัดเจนแล้ว” นาย ชาญชัย กล่าว

“ในส่วนของประเทศไทย ความต้องการรายงานความยั่งยืนของนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มขึ้นจะเป็นแรงผลักดันให้หน่วยงานกำกับออกกฎระเบียบข้อบังคับให้จัดทำรายงานที่เป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ทุก ๆ บริษัทจะต้องทำ คือ ศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของ ESG ต่อธุรกิจ และมาตรฐานของการจัดทำรายงานความยั่งยืน ซึ่งหากธุรกิจไหนตื่นตัวก่อน และดำเนินการครอบคลุมทุก ๆ มิติของ ESG ก็จะมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งรายอื่น แต่อย่างที่เราทราบดีว่า ไม่มีกลยุทธ์ความยั่งยืนไหนที่ one size fits all และจะต้องถูกผลักดันอย่างต่อเนื่องจากผู้บริหารระดับบนลงมาสู่ฝ่ายอื่น ๆ ในองค์กร”

นาย ชาญชัย กล่าว

//จบ//

[1] การทำให้ผู้บริโภคและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าใจผิดด้วยการโฆษณาสร้างภาพลักษณ์ให้เชื่อว่า สินค้า เป้าหมาย และนโยบายขององค์กร มีความรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ข้อความถึงบรรณาธิการ 

เกี่ยวกับผลสำรวจ: PwC ได้สำรวจนักลงทุนและนักวิเคราะห์ 345 รายใน 30 ประเทศทั่วโลก และสัมภาษณ์เชิงลึก 15 รายการในเดือนกันยายน 2566 โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสถาบัน ซึ่งประกอบด้วยผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอ (19%) นักวิเคราะห์ (18%) และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน (17%) ซึ่ง 48% มีประสบการณ์มากกว่าสิบปีในอุตสาหกรรมนี้ ทั้งนี้ การลงทุนของพวกเขาครอบคลุมประเภทสินทรัพย์ แนวทางการลงทุน ขอบเขตเวลา และสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ในองค์กรอยู่ในช่วงตั้งแต่ <500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่านั้น 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามมาจากองค์กรที่มี AUM รวมมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
 

เกี่ยวกับ PwC

ที่ PwC เป้าประสงค์ของเรา คือ การสร้างความไว้วางใจในสังคมและช่วยแก้ปัญหาสำคัญให้กับลูกค้า เราเป็นหนึ่งในบริษัทเครือข่าย 151 ประเทศทั่วโลก และมีพนักงานมากกว่า 360,000 คนที่ยึดมั่นในการส่งมอบบริการคุณภาพด้านการตรวจสอบบัญชี ที่ปรึกษาทางธุรกิจ กฎหมายและภาษี หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราได้ที่ www.pwc.com
 

กี่ยวกับ PwC ประเทศไทย

PwC ประเทศไทย ถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2502 โดยมีบทบาทในการช่วยเหลือ และให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจไทยมานานกว่า 65 ปี PwC ผสมผสานประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถในการทำงานกับลูกค้าข้ามชาติ ผนวกกับความเข้าใจตลาดภายในประเทศเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ชื่อเสียงของ PwC เป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยปัจจุบัน มีบุคลากรมากกว่า 1,800 คนในประเทศไทย

PwC refers to the Thailand member firm, and may sometimes refer to the PwC network. Each member firm is a separate legal entity. Please see www.pwc.com/structure for further details.

© 2024 PwC. All rights reserved.

Click here to read English version

Contact us

Ploy Ten Kate

Ploy Ten Kate

Director, PwC Thailand

Tel: +66 (0) 2844 1000 Ext. 4713

Follow us