นิพันธ์
ผมขอเริ่มต้นด้วยการให้ภาพรวมของการจัดเก็บภาษีในรอบปีที่ผ่านมากับปีนี้ก่อนนะครับ ปีที่แล้ว เป้าหมายการจัดเก็บภาษีอยู่ที่ 2.5 ล้านล้านบาท แต่กรมสรรพากรจัดเก็บได้จริงประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 10% หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท สำหรับปี 2569 เป้าหมายการจัดเก็บภาษีถูกขยับขึ้นเป็น 2.6 ล้านล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับยอดจัดเก็บจริงของปีที่แล้ว จะมีส่วนต่างประมาณ 4 แสนล้านบาท
โจทย์ใหญ่ของกรมสรรพากร คือ จะหาเงิน 4 แสนล้านบาทนี้จากที่ไหน ในอดีต ภาษีหลัก ๆ ที่กรมสรรพากรจัดเก็บได้มาจากภาษีประเภทต่าง ๆ
อันดับที่หนึ่ง คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งเป็นภาษีที่เก็บได้มากที่สุด
อันดับที่สอง ก็คือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งของประเทศไทยอัตราภาษีตอนนี้อยู่ที่ 20% และเมื่อมีการจ่ายเงินปันผล จะมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย เพิ่มอีก 10% ทำให้ effective tax rate (อัตราภาษีที่แท้จริง) ของภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยรวมกับการจ่ายเงินปันผล อยู่ที่ 28%
นอกจากนี้ ยังมีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นแหล่งรายได้สำคัญอันดับสาม ที่กรมสรรพากรจัดเก็บเป็นภาษีหลัก
หากเปรียบเทียบตัวเลขปีที่แล้วกับปีนี้ที่ผมกล่าวไป เราจะเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มการจัดเก็บภาษีอีก 4 แสนล้านบาท ในขณะที่ GDP ของปีนี้ ยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่มีประเด็นที่น่าจับตามอง คือ การค้าทั่วโลกที่มีความเข้มข้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ
ตัวอย่าง เช่น ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับยอดขายรถยนต์ที่ลดลงอย่างน่ากังวล เพราะยอดขายรถยนต์ในประเทศในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบสิบกว่าปี ซึ่งอาจส่งผลให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ถึงเป้า หากเรานึกถึงซัพพลายเชนของรถยนต์ เมื่อยอดขายลดลง ก็อาจส่งผลให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จะจัดเก็บจากกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ก็มีแนวโน้มที่จะลดลงตามไปด้วย เนื่องจากยอดการผลิตและยอดขายของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมรถยนต์ ลดลงตลอดทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่บริษัทขายรถยนต์ ไปจนถึงบริษัทขายชิ้นส่วนรถยนต์ ก็จะลดลงกันเป็นทอด ๆ
โดยภาพรวมแล้ว เศรษฐกิจอาจจะยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ยอดการจัดเก็บภาษีกลับเพิ่มขึ้น ดังนั้น กรมสรรพากรจึงจำเป็นต้องหาเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อใช้ในการตรวจสอบภาษี หรือจัดเก็บภาษีให้ได้ตามเป้าหมายครับ
คราวนี้เรามาดูในแง่มุมของการทำงานของกรมสรรพากรกันบ้างครับ ที่ผ่านมาการตรวจสอบภาษีสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ ได้แก่ การตรวจสอบแบบไม่เป็นทางการ และการตรวจสอบแบบเป็นทางการ
การตรวจสอบแบบไม่เป็นทางการเป็นเครื่องมือที่กรมสรรพากรใช้มาแล้วกว่าสิบปี เราเรียกการตรวจสอบประเภทนี้ว่า ‘การตรวจแนะนำ’ ซึ่งกรมสรรพากรจะส่งจดหมายไปยังผู้เสียภาษีเพื่อแจ้งว่าจะเข้าไปตรวจสถานประกอบการ โดยจะตรวจดูรายงานต่าง ๆ และให้คำแนะนำแก่ผู้เสียภาษีว่าส่วนใดบ้างที่ควรปรับปรุงแก้ไข จากนั้นผู้เสียภาษีก็จะไปยื่นเรื่องแก้ไขปรับปรุงให้เป็นไปตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ซึ่งการตรวจแบบนี้ถือว่าค่อนข้างเป็นมิตร
ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ การตรวจสอบแบบเป็นทางการ ซึ่งในวงการภาษีเราเรียกว่า ‘การตรวจด้วยการออกหมาย’ กรมสรรพากรจะใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากรในการออกหมายเรียกผู้เสียภาษีเข้ามาทำการตรวจสอบภาษี ซึ่งจะดำเนินการตรวจเป็นรายปี
ตามที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า กรมสรรพากรต้องการหาเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและเก็บภาษีให้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของประเทศไทยที่จะเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) โดยก่อนหน้านี้เราได้ลงนามในข้อตกลง Inclusive Framework กับ OECD เพื่อให้มีความเป็นสากล
จากจุดนั้นมาจนถึงวันนี้ ประเทศไทยกําลังจะก้าวไปอีกหนึ่งขั้น คือ จากที่มีการลงนาม Inclusive Framework ประเทศไทยกำลังจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ OECD ซึ่งหากเข้าเป็นสมาชิกได้ ในด้านบวกก็คือ จะทำให้ไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความท้าทาย คือ เราจะต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ในประเทศให้มีความทันสมัย และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของ OECD ซึ่งสาระสำคัญประการหนึ่งก็คือ เรื่องของภาษี
ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการพัฒนาทางด้านภาษีระหว่างประเทศในกฎหมายภาษีของไทยค่อนข้างมาก หนึ่งในนั้น คือ Transfer Pricing (การกำหนดราคาโอน) ที่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยบริษัทในประเทศไทยที่มีรายได้เกิน 200 ล้านบาท และมีธุรกรรมกับบริษัทในเครือจะต้องยื่น Transfer Pricing Disclosure Form (แบบฟอร์มการเปิดเผยข้อมูล) และจัดทำรายงานเอกสารราคาโอน (Transfer Pricing documentation)
อีกกรณีล่าสุด คือ Pillar Two หรือ ภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำที่เท่ากันทั่วโลก (Global Minimum Tax: GMT) ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา โดยกำหนดว่า กลุ่มบริษัทที่มีรายได้เกิน 750 ล้านยูโรต่อเนื่องกันสองปี ต้องปฏิบัติตามกฎ GMT ซึ่งหมายถึง การเสียภาษีขั้นต่ำ 15% ในประเทศที่ลงทุน หากเสียภาษีไม่ถึง 15% จะต้องจ่าย top-up tax (ภาษีส่วนเพิ่ม)
เมื่อกฎหมายเหล่านี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็น Transfer Pricing หรือ Pillar Two ผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลย เพราะจากตัวเลขประมาณการบวกกับกฎหมายที่ออกมาใหม่ นี่คือเครื่องมือที่กรมสรรพากรจะใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บภาษีในปีนี้ครับ